การขุดแถวระดับในพื้นที่การเกษตรลาดชัน เป็นเทคนิคที่ช่วยรักษาหน้าดิน ลดการพังทลายของดิน และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรน้ำ
การทำเกษตรบนพื้นที่ลาดชันแม้จะสร้างรายได้และใช้พื้นที่อย่างคุ้มค่า แต่ก็มีผลกระทบด้านลบหลายประการ หากไม่ได้มีการจัดการที่ดินอย่างเหมาะสม ผลกระทบที่เกิดขึ้น เช่นน้ำฝนชะล้างหน้าดินทำให้ชั้นดินที่อุดมสมบูรณ์สูญเสียไปทำให้ธาตุอาหารสำคัญถูกน้ำชะล้างไปกับหน้าดิน พื้นที่เพาะปลูกเสื่อมโทรมเร็วทำให้ต้องใช้ปุ๋ยมากขึ้น ดังนั้นองค์กรจึงเล็งเห็นถึงความสำคัญในการจัดการที่ดินอย่างยั่งยืนและเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่จะส่งเสริม อบรมเกษตรกรชุมชนบนพื้นที่สูงให้มีความรู้สร้างความตระหนักในการใช้ที่ดินบนพื้นที่สูงที่มีความลาดชันโดยการขุดแถวระดับ เพื่อรักษาหน้าดิน ลดการพังทลาย และเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูก
ทำความรู้จักกับภูมิลักษณะของพื้นที่การเกษตรของกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูง
พื้นที่ที่กลุ่มชาติพันธุ์ใช้ในการทำเกษตรกรรมบนที่สูงมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจากพื้นที่ราบ โดยมีปัจจัยด้านภูมิศาสตร์และสภาพแวดล้อมที่ส่งผลต่อรูปแบบการเพาะปลูกและการใช้ที่ดิน ดังนี้:
ลักษณะภูมิประเทศ
พื้นที่ลาดชันและภูเขาสูง
- ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ภูเขาสูงที่มีความลาดชัน ทำให้การใช้ที่ดินต้องอาศัยเทคนิคพิเศษ เช่น การทำไร่ขั้นบันไดเพื่อลดการพังทลายของดิน
- มีความสูงจากระดับน้ำทะเลแตกต่างกัน ตั้งแต่ 500 เมตรขึ้นไป บางพื้นที่อาจสูงเกิน 1,500 เมตร ซึ่งส่งผลต่อชนิดพืชที่สามารถเจริญเติบโตได้
ที่ราบแคบและหุบเขา
- บางพื้นที่มีที่ราบเล็ก ๆ ตามหุบเขาหรือเชิงเขา ซึ่งเหมาะสำหรับการปลูกข้าวไร่และพืชเศรษฐกิจ
- มีแหล่งน้ำจากลำธารและน้ำซับที่มาจากภูเขา ซึ่งเป็นแหล่งน้ำสำคัญสำหรับการเพาะปลูกและการดำรงชีวิต
2. ลักษณะดิน
ดินมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำถึงปานกลาง
- ดินบนภูเขามักเป็นดินร่วนปนทราย มีอินทรียวัตถุต่ำ ทำให้ต้องใช้เทคนิคการปรับปรุงดิน เช่น การปลูกพืชคลุมดินและการใช้ปุ๋ยอินทรีย์
- ในบางพื้นที่ที่มีการทำไร่หมุนเวียนมายาวนาน ดินอาจเสื่อมโทรมและต้องมีช่วงเวลาฟื้นฟู
มีการพังทลายของดินง่าย
- พื้นที่ลาดชันมีโอกาสเกิดการชะล้างหน้าดินสูง โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน ทำให้การปลูกพืชต้องมีระบบป้องกัน เช่น การปลูกพืชยึดดิน
3. สภาพภูมิอากาศ
อากาศเย็นตลอดปี (พื้นที่สูงมาก)
- บนพื้นที่สูงกว่า 1,000 เมตร อุณหภูมิโดยเฉลี่ยจะต่ำกว่าพื้นที่ราบ โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวอาจต่ำกว่า 10°C
- พืชที่ปลูกได้ดี ได้แก่ กาแฟอาราบิก้า ชา และพืชเมืองหนาว เช่น สตรอว์เบอร์รีและแมคคาเดเมีย
ฤดูฝนยาวและปริมาณน้ำฝนสูง
- ฝนตกชุกในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงตุลาคม ส่งผลให้มีน้ำเพียงพอสำหรับการเพาะปลูก แต่ก็ก่อให้เกิดปัญหาดินถล่มในบางพื้นที่
ฤดูแล้งขาดแคลนน้ำ
- ในบางพื้นที่ที่ไม่มีแหล่งน้ำธรรมชาติสำรอง อาจประสบปัญหาขาดแคลนน้ำในช่วงฤดูแล้ง ทำให้ต้องพึ่งพาระบบเก็บกักน้ำและชลประทานขนาดเล็ก
4. ความสัมพันธ์ระหว่างภูมิประเทศกับวิถีชีวิต
ที่ตั้งของหมู่บ้านและไร่
- หมู่บ้านของกลุ่มชาติพันธุ์มักตั้งอยู่บนที่ราบเชิงเขาหรือแนวสันเขา เพื่อหลีกเลี่ยงน้ำท่วมและมีอากาศถ่ายเทสะดวก
- ไร่ทำกินมักอยู่บริเวณเชิงเขาหรือลาดชัน ซึ่งต้องใช้เทคนิคการเพาะปลูกเฉพาะ เช่น การทำไร่ขั้นบันได
ระบบนิเวศและทรัพยากรธรรมชาติ
- ชาวบ้านมักพึ่งพาป่าไม้ ลำธาร และทรัพยากรท้องถิ่นเพื่อการดำรงชีวิต ทั้งในด้านอาหาร ยารักษาโรค และวัสดุสำหรับสร้างบ้าน
- มีการใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นในการบริหารจัดการที่ดินและน้ำ เช่น การสร้างฝายชะลอน้ำและการปลูกป่าเพื่อฟื้นฟูดิน
ผลกระทบด้านเศรษฐกิจหากไม่มีการจัดการที่ดินอย่างถูกต้อง
1.เมื่อดินเสื่อมคุณภาพ ต้องใช้ปุ๋ยเคมีและสารปรับปรุงดินมากขึ้น
2.หากเกิดการพังทลายของดิน อาจต้องเสียค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟู
3.พื้นที่ลาดชันหากไม่ได้รับการจัดการที่ดี มีแนวโน้มกลายเป็นพื้นที่เสื่อมสภาพ
4.เกษตรกรอาจสูญเสียรายได้ในอนาคต เนื่องจากคุณภาพดินลดลง
ประโยชน์ของการขุดแถวระดับ
เป็นการส่งเสริมการปลูกพืชหมุนเวียน: เช่น พืชคลุมดินที่ช่วยฟื้นฟูสภาพดิน
ลดการพังทลายของดิน: ชะลอความเร็วของน้ำไหลตามลาดชัน
เพิ่มความชุ่มชื้นของดิน: น้ำฝนสามารถซึมลงดินได้ดีขึ้น
ลดการสูญเสียธาตุอาหาร: ช่วยให้ธาตุอาหารไม่ถูกชะล้างออกไป




แนวทางที่เราส่งเสริมเพื่อลดผลกระทบการที่ดินบนพื้นที่สูง